by Admin
Posted on 02-10-2023 02:32 PM
บุกหลังบาร์ของคราฟต์เบียร์ ( craft beer) คืออะไร พร้อมตอบทุกข้อสงสัย คราฟต์เบียร์ ‘craft beer’ ไม่ใช่เสียงขานรับของคนที่เรียกชื่อ (ค้าบเบียร์) แต่เป็นเบียร์ประเภทหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากผู้ดื่มทั่วโลก วันนี้กระผมนาย thomas จะพาทุกคนไปท่องโลกแห่งคราฟต์เบียร์ เหมือนไปบุกหลังบาร์เลยล่ะครับ เริ่มตั้งแต่ทำความรู้จักว่าคราฟต์เบียร์คืออะไร แล้วมันต่างจากเบียร์สดหรือเบียร์ขวดทั่วไปอย่างไร พร้อมเรื่องต่าง ๆ อีกมากมายที่เหล่าคอเบียร์ห้ามพลาด.
Craft beer หรือคราฟต์เบียร์ หากเอ่ยถึงเครื่องดื่มชนิดนี้เรามักจะนึกไปถึงเบียร์ฉบับโฮมเมดที่มีหลากหลายรสชาติ และมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดีไซน์สุดเก๋ของแพคเกจจิ้ง รวมไปถึงเรื่องเล่าที่ชวนฟัง ซึ่งในปัจจุบันเบียร์ประเภทนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา และดูเหมือนว่าจะมีการผลิตเพิ่มมากขึ้น มีโรงเบียร์คราฟต์ในต่างประเทศผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ซึ่งในประเทศไทยก็เริ่มมีการทำคราฟต์เบียร์กันมากขึ้น แต่กระนั้นก็ยังไม่แพร่หลายเท่าใดนัก เราจะเห็นคราฟต์เบียร์รูปแบบใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นทุกปี เพราะฉะนั้นบอกเลยว่าหากคุณคิดว่าตัวเองเป็นนักดื่มเบียร์ตัวยง ไม่ควรพลาดที่จะลิ้มลองสักครั้ง ใครที่อยากรู้จักกันให้มากขึ้นแล้วล่ะก็ ชวนมาเจาะลึกข้อมูลเหล่านี้ไปพร้อมกันได้เลย คราฟต์เบียร์(craft beer) คืออะไร? ก่อนอื่นต้องรู้จักกับส่วนผสมของคราฟต์เบียร์กันก่อนว่ามีอะไรเป็นองค์ประกอบหลัก ซึ่งเครื่องดื่มชนิดนี้จะมียีสต์ เป็นตัวทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือแอลกอฮอล์ และมอลต์ที่ได้มาจากแป้ง เมื่อเกิดการหมักจะกลายเป็นน้ำตาล ซึ่งทำงานร่วมกับยีสต์ได้ออกมาเป็นแอลกอฮอล์ มีการเติมสิ่งที่เรียกว่า hops หรือ “ฮ็อปส์” เป็นพืชชนิดหนึ่ง โดยมีเอกลักษณ์คือ ความหอมเฉพาะตัว มีให้เลือกด้วยกันหลากหลายสายพันธุ์ รสชาติและกลิ่นจะแตกต่างกัน แถมยังเป็นตัวช่วยหลักที่ช่วยทำให้เบียร์เก็บได้นานขึ้น และส่วนผสมสุดท้ายก็คือน้ำ เป็นองค์ประกอบมากกว่า 95% และไม่ใช่ว่าจะใช้น้ำอะไรก็ได้ เหล่าคนทำคราฟต์เบียร์จะต้องคำนึงถึงรสชาติของน้ำ แร่ธาตุที่มีอยู่ในน้ำนั้นด้วย ซึ่งมีผลต่อกลิ่นและรสสัมผัสของ เบียร์ ถ้าหากจะหาคำจำกัดความของคราฟต์เบียร์นั้นอาจจะดูไม่ง่ายนัก ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการผลิตของแต่ละคน เพราะเครื่องดื่มชนิดนี้เต็มไปด้วยความหมายที่หลากหลายสำหรับคอเบียร์ที่หลงใหลการชิมรสชาติเบียร์ใหม่ ๆ ที่อยู่นอกเหนือระบบอุตสาหกรรม เป็นศาสตร์และศิลป์ที่ใส่ใจกันตั้งแต่วัตถุดิบ ขั้นตอนการทำ และเวลาในการหมัก นักคราฟต์ทั้งหลายจึงต้องผ่านการทดลองแบบผิด ๆ ถูก ๆ กว่าจะได้เบียร์ที่มีรสชาติดีที่สุดออกมา จึงไม่แปลกหากเราจะเห็นว่าเบียร์ในกลุ่มนี้จะมีราคาสูงกว่าเบียร์อุตสาหกรรม.
Craft beer 101 คัมภีร์คราฟต์เบียร์ฉบับมือใหม่หัดดื่ม นักดื่มมือฉมังหลายคนคงรู้จัก ‘คราฟต์เบียร์’ เป็นอย่างดี แต่สำหรับมือใหม่หัดดื่ม อาจจะเกิดอาการสงสัยเล็กน้อยว่า คราฟต์เบียร์คืออะไร แตกต่างจากเบียร์ปกติอย่างไร วันนี้เรามีคัมภีร์ craft beer 101 ฉบับรวบรัดมาฝาก ความหมายตรงไปตรงมาของ ‘คราฟต์เบียร์’ craft beer – คราฟต์เบียร์ เป็นเบียร์ที่เกิดจากผู้ผลิตรายเล็ก ทำให้การผลิตเบียร์มีจำกัด แต่มีอิสระในการผลิตมากกว่า โดยเฉพาะการหมักเบียร์ที่ส่วนใหญ่จะใช้วิธีดั้งเดิม แถมยังลงมือผลิตด้วยตัวเอง ให้สมกับเป็นเบียร์ทำมือ ตั้งแต่หมัก บรรจุลงขวด และส่งขายเอง ฯลฯ แต่อย่างเพิ่งเข้าใจผิดว่า เบียร์ที่ผลิตขึ้นเองตามบ้านจะเป็นคราฟต์เบียร์ทั้งหมด เพราะในวัฒนธรรมอเมริกาจะมีการต้มเบียร์ดื่มเองในบ้าน ทั้งสำหรับดื่มเองหรือชวนเพื่อนมาปาร์ตี้ ซึ่งจะเรียกเบียร์ประเภทนี้ว่า homebrew แต่หากเป็นคราฟต์เบียร์อย่างน้อยจะผลิตมาจาก ‘โรงเบียร์ขนาดเล็ก’ ที่มีปริมาณเพียงพอในการวางจำหน่าย แต่ต้องไม่เกิน 7 ร้อยล้านลิตรต่อปี.
28kread “พี่สนใจทำเบียร์กุหลาบไหม” เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง ผู้หลงใหลการทำ ‘คราฟต์เบียร์’ เอ่ยปากถามผู้เขียน เขาผู้นี้ใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งจะมีโอกาสผลิตคราฟต์เบียร์อย่างถูกต้องตามกฎหมายเมืองไทย คราฟต์เบียร์ (craft beer) คือการผลิตเบียร์โดยโฮมเมดรายเล็กที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ผู้ผลิตต้องใช้ฝีมือความคิดสร้างสรรค์ในการปรุงรสเบียร์ให้มีความหลากหลายของรสชาติ และที่สำคัญต้องแต่งกลิ่นตามธรรมชาติ ห้ามใช้สารเคมีมาแต่งกลิ่นเด็ดขาด “กลีบกุหลาบ ทำเบียร์ได้ด้วยหรือ” ผมถามในฐานะผู้ปลูกกุหลาบอินทรีย์รายเล็กๆ แถวอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ “ได้สิ คราฟต์เบียร์สามารถดัดแปลงส่วนประกอบทุกอย่างในธรรมชาติมาเป็นส่วนผสม ให้เกิดกลิ่น รสใหม่ๆ ของเบียร์ เราสามารถสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ๆ ได้ ไม่มีข้อจำกัด” คราฟต์เบียร์แตกต่างจากเบียร์เยอรมันที่เรารู้จักดี ในประเทศเยอรมนีมีกฎหมายฉบับหนึ่งระบุว่า เบียร์ที่ผลิตในประเทศเยอรมนีจะต้องใช้องค์ประกอบหลัก 4 อย่างเท่านั้นคือ “มอลต์ ฮอปส์ ยีสต์ และน้ำ” กฎหมายฉบับนั้นคือ ‘reinheitsgebot’ (german beer purity law ) หรือกฎหมายแห่งความบริสุทธิ์ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการผลิตเบียร์ไปสู่ยุคใหม่ กฎหมายนี้เริ่มขึ้นในแคว้นบาวาเรีย เมื่อ ค. ศ. 1516 โดยได้ตั้งค่ามาตรฐานว่า เบียร์ที่ผลิตในเยอรมนีจะต้องทำจาก น้ำ ข้าวบาร์เลย์ที่เพิ่งงอกหรือมอลต์ และดอกฮอปส์ เท่านั้น กฎหมายฉบับนี้ในอดีตจึงถูกเรียกว่า 1516 bavarian law ส่วนยีสต์เกิดขึ้นภายหลังจากการค้นพบวิธีพาสเจอร์ไรซ์ กฎนี้ยังตกทอดมาสู่การผลิตเบียร์ในเยอรมันเกือบทุกบริษัท ดังนั้น เราจึงไม่เห็นเบียร์ที่ทำจากข้าวสาลี หรือเบียร์รสสตรอว์เบอร์รี ในเยอรมนี เพราะไม่ใช่มอลต์ ในขณะที่คราฟท์เบียร์ สามารถสร้างสรรค์ แต่งกลิ่นจากวัสดุตามธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ไม่มีข้อจำกัด เพื่อนคนนี้กล่าวต่อว่า “บ้านเรามีความหลากหลายของผลไม้ ดอกไม้เยอะมาก ตอนนี้เราจึงเห็นคราฟต์เบียร์หลายชนิดที่วางขายมีกลิ่นอ่อนๆ ของบ๊วย ส้ม มะม่วง มะพร้าว ฯลฯ” เมื่อไม่นานมานี้ ที่เมืองแอชวิล ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา gary sernack นักปรุงคราฟต์เบียร์ ได้สร้างสรรค์เบียร์ ipa ที่ได้แรงบันดาลใจจาก ‘แกงเขียวหวาน’ ของคนไทย โดยแต่งกลิ่นจากส่วนประกอบของแกงเขียวหวาน คือ ใบมะกรูด ตะไคร้ มะพร้าวเผา ขิง ข่า และใบโหระพา จนกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ipa เป็นประเภทของเบียร์ชนิดหนึ่ง มีดีกรีแอลกฮอล์สูงกว่าเบียร์ธรรมดา ipa หรือ india pale ale เกิดจากเบียร์ pale ale ที่ได้รับความนิยมมากในยุคอังกฤษล่าอาณานิคมและเริ่มส่งเบียร์ไปขายในอินเดีย แต่เนื่องจากระยะเวลาการเดินทางบนเรือนานเกินไป เบียร์จึงบูดเน่า ต้องเททิ้ง ผู้ผลิตจึงแก้ปัญหาด้วยการใส่ฮอปส์และยีสต์มากขึ้นเพื่อยืดอายุของเบียร์ ทำให้เบียร์มีแอลกอฮอล์สูงขึ้น กลิ่นฮอปส์มีความโดดเด่น และเบียร์ก็มีสีทองแดงสวยงาม จนกลายเป็นว่าได้รับความนิยมมาก.
คราฟต์เบียร์ (craft beer) คือ การทำเบียร์ที่เกิดจากผู้ผลิตรายเล็ก ที่ต้องใช้ความพิถีพันถันในการผลิต ทำให้เบียร์มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยจะต้องประกอบไปด้วยคุณสมบัติ 3 อย่างที่กำหนดโดย brewers association ดังนี้ 1. Small – โรงเบียร์ขนาดเล็ก มีกำลังการผลิตไม่เกิน 6 ล้านบาร์เรล / ปี (ประมาณ 700 ล้านลิตร) 2. Independent – เจ้าของเป็นผู้ถือหุ้นมากกว่า 75% (independent) 3. Traditional – ใช้วัตถุดิบธรรมชาติทั้งหมด.
สืบเนื่องมาจากข่าวเกี่ยวกับการจับกุมคนที่ทำเบียร์ขายเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งค่อนข้างเป็นข่าวฮือฮาในวงการเบียร์บ้านเรา แอดมินขออนุญาตนำเสนอเกร็ดความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับกฏหมายในการทำเบียร์ ซึ่งเขียนแปะกันทั่วไปใน facebook เกี่ยวกับกลุ่มคนที่ชอบเบียร์ เข้าใจว่ามาจากคุณ artid sivahansaphan และ เรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับการทำเบียร์ จากเพจ “จะดีเสียก็เบียร์กู” ซึ่งเขียนไว้ได้ดีมากและเข้าใจง่ายมาก มาแชร์ให้เพื่อนๆได้อ่านกัน ส่วนตัวแอดมินมองว่าเจ้าหน้าที่สรรพสามิตรและตำรวจเค้าก็ทำถูกต้องตามหน้าที่ของเค้า แต่ดูจากสีหน้าของเจ้าหน้าที่ในภาพข่าวแล้ว แอดมินว่าเจ้าหน้าที่ก็คงมีอารมณ์อยากชิมเบียร์ที่เค้าปรุงบ้างแหละน่า (ใช่มะใช่มะ) หรือจริงๆแล้วกฏหมายไทยควรจะเอื้อให้การทำเบียร์กินเองหรือขาย เป็นเรื่องที่ไม่ผิดกฏหมายกันแน่ครับ จริงๆ เท่าที่ผมเคยลองชิม craft beer ในบ้านเรามาบ้าง พบว่ามีหลายเจ้าทำได้ดีเลย แต่มีอีกหลายเจ้าเป็นจำนวนมากกว่าที่ยังต้องปรับปรุงอีกหลายๆด้าน อย่างไรก็ดี ผมเห็นว่าเราควรจะมีทางเลือกในการดื่มเบียร์ มากกว่าเบียร์ที่มีอยู่ในร้านสะดวกซื้อ ผมจึงสนับสนุนให้การผลิต craft beer ไทย เป็นเรื่องถูกกฏหมายง่ายกว่าเงื่อนไขเดิมที่เป็นอยู่ครับ สุดท้ายหากเห็นด้วยผมขออนุญาตฝาก link ใน change. Org ที่มีคนได้ทำขึ้นไว้แล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ละกันครับ #ผมชอบเบียร์ บทความจากคุณ artid sivahansaphan "ก็อปมาจ้าา เครดิตด้านล่าง #ผมชอบเบียร์ เห็นข้อมูลเรื่องกฏหมายการทำเบียร์ที่โพสข้างล่างเขียนไป ขอถือวิสาสะเขียนอธิบายคร่าวๆนะครับ จะได้ไม่เข้าใจผิดกัน ประเทศไทยอนุญาตให้ทำเบียร์ได้ถูกกฏหมายได้แค่ 2 แบบ แบบแรกคือ ทำ brewpub นึกภาพไม่ออกให้นึกถึงโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงเข้าไว้ครับ นั่นล่ะ brewpub ประเภทนี้ประเทศเรากำหนดให้มีกำลังการผลิตขั้นต่ำ 1 แสนลิตรต่อปี แต่ไม่เกิน 1 ล้านลิตรต่อปี รายละเอียดปลีกย่อยยั้วเยี้ยขอข้ามไป ไอ้ประเภทว่าห้ามบรรจุขวด ห้ามใส่โถใส่ถังเอาไปจำหน่ายนอกร้าน ก็บังคับใช้กับบริวผับบ้านเรา อยากดื่ม ดื่มได้แค่ในร้าน แบบที่สองคือ โรงเบียร์ขนาดใหญ่ ต้องมีกำลังการผลิตอย่างน้อย 10 ล้านลิตรต่อปี จำนวนมหาศาลขนาดนี้ นึกถึงพวกสิงห์ช้างไปเลย ดังนั้นบ้านเราจึงไม่มีที่ว่างให้ microbrewery ขนาดเล็กครับ บางประเทศกำหนดแค่ 2 หมื่นลิตรต่อปีก็ทำได้แล้ว แต่ประเทศเรา 10 ล้านลิตรครับ อ้วกแตกกันไป อยากต้มเบียร์เป็นบริวผับยังต้องทำ 1 แสนลิตรขั้นต่ำ มหาศาลมากๆครับ ส่วนคราฟต์เบียร์ไทยที่ทุกท่านดื่มกันทุกวันนี้ ร้อยละ 80 % คือของผิดกฏหมายครับ เพราะการทำ homebrew เป็นสิ่งผิดกฏหมายในประเทศนี้ ถ้าต้มเฉยๆโดนปรับ ต้มแล้วขายปรับหนักกว่า คราฟต์เบียร์ไทยที่ทุกท่านดื่มทุกวันนี้ ตัวไหนไม่มีสแตมป์แปะ มันคือของเถื่อนครับ ไอ้อีก 20 % ที่เหลือคือคนทำคราฟต์เบียร์ไทยที่ต้องถ่อไปต้มเบียร์ที่ต่างประเทศครับ แล้วค่อยนำเข้ามาขายอย่างถูกกฏหมาย ติดสแตมป์ ทำเรื่องนำเข้า เสียภาษีมหาโหด พวก sandport / happy new beer / มหานคร / stone head พวกนี้คืออดีตของเถื่อนที่ไปทำแบบถูกกฏหมายแล้ว.
อย่างที่ทุกคนรู้ ช่วงนี้กระแสคราฟเบียร์ (craft beer) กำลังมาแรงจนมีหลายๆคนไปลงเรียนคอร์สทำเบียร์กันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นวันนี้เราเลยจะมาเริ่มด้วยการพูดถึงคราฟเบียร์ที่เป็นที่นิยมกันในแบบคร่าวๆ ว่าคืออะไร? แล้วมันต่างกันอย่างไร? ก่อนที่จะพูดถึงคราฟเบียร์แต่ละประเภท สิ่งที่ต้องรู้เลยคือ ในการทำคราฟเบียร์สิ่งที่ทำให้เบียร์เกิดความแตกต่างกันนอกจากวัตถุดิบที่เราใส่ลงไปแล้ว วิธีการหมักเบียร์ที่ต่างกันก็ส่งผลให้รสชาติของคราฟเบียร์แต่ละตัวแตกต่างกันไปด้วย เมื่อทุกคนรู้แล้วงั้นเราก็จะมาพูดถึงคราฟเบียร์แต่ละตัวกันต่อเลย 1. Lager เบียร์ยอดนิยมที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามท้องตลาด โดยเบียร์ชนิดนี้จะใช้อุณภูมิในการหมักที่ค่อนข้างต่ำ ใช้ยีสต์ที่เกิดขึ้นที่ก้นถังหมัก เวลาที่ใช้ในการหมักอยู่ที่ 2- 3 เดือน เบียร์ที่ได้จะมีสีเหลืองทอง ดื่มแล้วจะให้ความรู้สึกสดชื่น เนื้อสัมผัสนุ่มลิ้น ดื่มง่าย เก็บได้นาน 2. Pale ale เอกลักษณ์ของเบียร์ชนิดนี้ก็คือจะมีสีเหลืองทอง รสชาติหนัก ซับซ้อน ได้ความหอมหวานจากมอลต์และมีรสชาติที่ขมจากฮอปส์ โดยจะให้มอลต์ในอัตราส่วนที่เท่าๆกันกับฮอปส์ 3. Indian pale ale (ipa) เบียร์ชนิดนี้จะมีปริมาณแอลกอฮอล์ที่สูงขึ้น เพราะว่าถูกปรับแต่งมาจาก pale ale โดยการใส่ฮอปส์และยีสต์เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีรสชาติขมขึ้น สีค่อนข้างจะเข้ม และจะได้กลิ่นของฮอปส์ที่ค่อนข้างชัดเจนอีกด้วย 4. Weizen เบียร์ชนิดนี้น่าจะเหมาะกับสาวๆหรือคนที่ไม่ชอบรสขมของเบียร์มากนัก เพราะเป็นเบียร์ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของกลิ่นหอมคล้ายกับผลไม้ กลิ่นฮอปส์ไม่แรง สีเหลืองใส รสชาติขมเล็กน้อย ให้รสสัมผัสที่นุ่มนวล 5. Dunkel เบียร์ที่เรารู้จักกันในชื่อของ “เบียร์ดำ” เป็นเบียร์ที่ผลิตจากมอลต์ที่นำไปคั่วจนมีสีเข้ม ทำให้ได้รสชาติหวานเจือรสขม เอกลักษณ์ของเบียร์ชนิดนี้นอกจากจะมีสีเข้มแล้ว จะมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นกาแฟหรือช็อกโกแลต จากที่ได้กล่าวไปข้างต้นเป็นเพียงคราฟเบียร์ที่ได้รับความนิยมส่วนหนึ่งเท่านั้น จริงๆแล้วยังมีคราฟเบียร์อีกหลายประเภทให้ทุกคนได้ลองศึกษา ถ้าหากจะให้ดื่มเบียร์อย่างเดียวโดยไม่มีอาหารหลายๆคนคงไม่ชอบ งั้นเรามาดูเมนูไหนกินคู่กับเบียร์ที่เลือกแล้วดีกว่าเดิม เรามาเริ่มที่เมนูแรก คือ • weizen เบียร์ชนิดนี้จะช่วยดึงรสเค็มและรสหวานจากอาหารทะเลออกมา ทำให้เราได้สัมผัสรสชาติอาหารทะเลอย่างแท้จริง จึงเหมาะกับการจับคู่กับอาหารซีฟู้ดทั้งหลาย • lager เข้ากันได้ดีกับอาหารที่มีความครีมมี่มากๆ เพราะรสชาติขมเบาๆของตัวเบียร์จะไปช่วยตัดเลี่ยนของอาหารได้ดี และทำให้เรากินเมนูได้มากขึ้น • ipa แก้เลี่ยนได้ค่อนข้างดีเลย และช่วยให้รสชาติอาหารก็ดีขึ้น เหมาะกับสายโปรตีน โดยเฉพาะเนื้อหมู • เบียร์ดำจะช่วยดึงรสอูมามิของผักออกมา จึงเข้ากันได้ดีกับอาหารประเภทผักย่าง • pale ale เหมาะกับอาหารทอดทั้งหลาย รสชาติที่ขมจะช่วยชูรสของอาหารมากขึ้น หลังจากที่ทุกคนได้อ่านไปแล้วหวังว่าจะช่วยเลือกเครื่องดื่มและเมนูอาหารสำหรับเย็นนี้ได้แล้ว ถ้าหากใครได้ผ่านมาโคราช ลองแวะไปร้าน hop beer house korat ด้วยบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติเหมาะกับการผ่อนคลาย ทานอาหารอร่อยๆ กับเครื่องดื่มเย็นๆ พบปะกับเพื่อนหลังเลิกงาน นั่งฟังเพลงชิลๆ หรือใครที่สนใจอยากมีความรู้การทำคราฟเบียร์ ที่นี่ก็มีคอร์สให้เรียนจากผู้เชี่ยวชาญ และได้ทดลองทำด้วยตัวเองจริงๆ.
หลังจากที่เราเคยบอกกันไปในบทความที่แล้วแล้วว่า ‘ craft beer คืออะไร ’ มาในบทความนี้ craft experience ขอมาขยายความเพิ่มกันอีกหน่อยว่า หลังจากที่เรารู้จัก craft beer กันไปแล้ว ร้านที่ชายเบียร์ชนิดนี้แบบดีงามจริงๆควรจะต้องเก็บและเสิร์ฟให้เราลิ้มรสกันอย่างไร อุณหภูมิในการเก็บรักษาเบียร์ เริ่มต้นกันที่อุณหภูมิในการรักษาตัวเบียร์กันก่อนเลย โดยในขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากๆเลยสำหรับคอประจำ craft beer ทั้งหลาย คงจะเคยกันใช่มั๊ยครับที่ไปนั่งจิบเบียร์เมนูโปรดของคุณในแต่ละร้านแล้วรสชาติออกมาไม่เหมือนกัน ซึ่งนี่แหละครับคือเหตุผล จริงๆแล้วการเก็บเบียร์ที่ดีคือควรจะแช่ไว้ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่แบบขวดนะครับ ไม่ว่าจะเป็นแบบถังหรือแบบไหนก็ต้องแช่หมด ซึ่งการแชร์เบียร์นี่แหละครับจะช่วยคงไว้ซึ่งความสดใหม่ รสชาติและกลิ่นหอมของเบียร์นั้นๆไว้ได้เป็นอย่างดี อ้อ การแช่นี่ไม่ได้หมายถึงแช่ก่อนเสิร์ฟนะครับ แต่เราหมายถึงแช่ไว้ตั้งแต่กระบวนการการเก็บเลยต่างหากครับ แต่อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิในการเก็บหรือ store เบียร์เอาไว้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากครับ ทุกอย่างจะต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เบียร์เสียคุณภาพ และไม่เย็นเกินจนกลายเป็นวุ้น โดยอุณหภูมิคร่าวๆที่เหมาะสมกับแก่การเก็บเบียร์ก็จะอยู่ที่ 3-8 องศาเซลเซียส ซึ่งถ้าหากว่าคุณได้ไปลองแฮงก์เอ้าท์ที่ไหนแล้วพบเจอร้านนั้นมีห้องเย็นเพื่อเก็บอุณหภูมิเบียร์โดยเฉพาะ ลิสต์ร้านนั้นไว้ใน your favourite ได้เลย! สำหรับ craft experience เองก็พบเจอร้านแบบนั้นแล้วเช่นกัน โดยที่ 722 craft experience ย่านเอกมัย เขาได้ลงทุนทำห้องเย็นเพื่อเก็บเบียร์ไว้โดยเฉพาะ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง secret place ที่น่าไปทดลองมากๆเลยล่ะ.